พล.อ.ประวิตร” ลงพื้นที่ให้กำลังใจพร้อมติดตามสถานการณ์น้ำที่ชัยนาท-อยุธยา สั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำท่วมให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ย้ำ รัฐบาลห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
วันที่ 3 ต.ค. 2565 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) พร้อมด้วยรัฐมนตรีพรรคพลังประชารัฐ และคณะ ลงพื้นที่ตรวจราชการและติดตามการดำเนินการโครงการด้านทรัพยากรน้ำในพื้นที่ จ.ชัยนาท และ จ.พระนครศรีอยุธยา รับทราบการรายงานสถานการณ์น้ำและสรุปการดำเนินการของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลาง, แนวทางการบริหารจัดการน้ำหลากในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง, สถานการณ์อุทกภัยในภาพรวมและการช่วยเหลือในพื้นที่อุทกภัย และรายงานสรุปการสนับสนุนศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัยภาคกลางและการช่วยเหลือในพื้นที่อุทกภัย จากนั้นลงพื้นที่วัดโบสถ์ (ล่าง) อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและการให้ความช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ พร้อมพบปะให้กำลังใจประชาชนที่ประสบอุทกภัย
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า จากอิทธิพลพายุโนรูทำให้ฝนตกหนักมากและเกิดน้ำหลากน้ำท่วมขังที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ของประเทศ รัฐบาลติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดพร้อมวางแผนป้องกันและรับมือล่วงหน้า โดยการจัดตั้งศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย 2 ศูนย์ ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.อุบลราชธานี และภาคกลาง จ.ชัยนาท โดยวันนี้ลงพื้นที่ติดตามการทำงานของศูนย์ที่ จ.ชัยนาท เพื่อรับทราบผลการดำเนินงานและปัญหาอุปสรรค ทั้งนี้ รัฐบาลมีความเป็นห่วงประชาชนที่ได้รับผลกระทบ จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเพื่อให้สถานการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว และขอให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนการทำงานของศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย เพื่อให้เกิดการบูรณาการงานอย่างเป็นเอกภาพ เร่งแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
SPONSORED
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้จังหวัด กรมชลประทาน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ บรรเทาความเดือดร้อน และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโดยเร็ว รวมถึงให้ทางจังหวัด ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง พิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ และวางแผนเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งหน้าด้วย โดยให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ประสานงานกับกระทรวงเกษตรฯ พิจารณาแผนการปลูกพืชในพื้นที่ลุ่มต่ำที่ใช้เป็นพื้นที่รับน้ำหลาก เพื่อป้องกันความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และเตรียมแผนการส่งน้ำเข้าทุ่ง ช่วยบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ อีกทั้งต้องประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าด้วย ควบคู่การแก้ไขปัญหาด้านน้ำอย่างยั่งยืน โดยมอบหมายให้ สทนช. เร่งรัดขับเคลื่อนแผนป้องกันและแก้ไขภาวะน้ำแล้ง-น้ำท่วม เพื่อแก้ไขปัญหาด้านน้ำในระดับพื้นที่ และมอบหมายกรมชลประทานเร่งรัดการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำผ่าน จ.พระนครศรีอยุธยา ได้อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน
SPONSORED
ด้าน ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการ สทนช. กล่าวว่า สถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาล่าสุด (2 ต.ค. 2565) ปริมาณน้ำในแหล่งน้ำต้นทุนทั้ง 4 เขื่อน คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำ 17,700 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็น 71% ของปริมาณการกักเก็บ และยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 7,171 ล้าน ลบ.ม. โดยการระบายน้ำ ณ สถานี C.13 เขื่อนเจ้าพระยา อยู่ที่ 2,643 ลบ.ม./วินาที ซึ่งพบว่าน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปี 2554 ที่ระบายในอัตรา 3,628 ลบ.ม./วินาที และยังน้อยกว่าปี 64 อัตรา 2,776 ลบ.ม./วินาที แม้ว่าปริมาณฝนปีนี้จะใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2554 แต่ประสิทธิภาพในการบริหารจัดการน้ำ การกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันล่วงหน้าตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ทุกหน่วยงานดำเนินการอย่างเข้มข้นตั้งแต่เดือน พ.ค. 2565 เป็นต้นมา โดยเฉพาะการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำ เขื่อนทุกขนาด และพื้นที่แก้มลิง เพื่อชะลอน้ำหลากในพื้นที่ตอนบนให้ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาให้น้อยที่สุด
อย่างไรก็ตาม ยังอาจจะมีผลกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำบ้าง จึงมีการประชาสัมพันธ์แจ้งให้ประชาชนในพื้นที่รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันจังหวัดที่ยังประสบอุทกภัยมีทั้งสิ้น 32 จังหวัด อาทิ เชียงใหม่ ลําพูน พิษณุโลก สุโขทัย ตาก กําแพงเพชร เลย ชัยภูมิ ขอนแก่น อุบลราชธานี นครราชสีมา ศรีสะเกษ สุรินทร์ ชลบุรี ปราจีนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ สระบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ชัยนาท สุพรรณบุรี.
{Fullwidth}